5 Centimeters Per Second
(2007)
อยู่ดี ๆ ก็นึกอยากดูซ้ำเป็นรอบที่สี่ อาจจะเป็นเพราะผลงานเรื่องใหม่ของ Makoto Shinkai (Kimi no Na wa (Your Name)) กำลังจะออกฉาย
เรายกให้ 5 cm/s เป็นหนังหวานขมตัวอย่าง คือพอดูหนังเรื่องอื่นที่มีรสชาติหวานขมผสมอยู่ ก็อดที่จะเอามาเทียบกับเรื่องนี้ไม่ได้
ด้านภาพนั้นได้สรรเสริญไว้ตอนเขียนเรื่อง Garden of Words (ผู้สร้างคือ Makoto Shinkai คนเดียวกัน) อย่างมากมายมหาศาลแล้ว โดยภาพเรื่องนี้ก็ไม่แพ้กัน เอาเป็นว่าสมญานาม 5 Wallpapers Per Second ไม่ได้ผิดไปจากความเป็นจริงเท่าไหร่
ที่อยากเขียนเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เพราะพอมาดูซ้ำรอบนี้ เราพบว่าหนังเรื่องนี้บทพูด (ในเชิงตัวละครพูดกัน ไม่นับเสียงบรรยาย) น้อยมาก เนื้อเรื่องก็แทบไม่มี แถมช็อตส่วนใหญ่ก็เป็นภาพทิวทัศน์หรือสิ่งของ
แต่ทำไมความไม่มีอะไรมันถึงได้เศร้าโศกขนาดนี้ หรือว่าช่องว่างระหว่างฉากมันกว้างพอจะให้คนดูเติมอารมณ์ของตัวเองเข้าไป
อีกอย่างที่เพิ่งสังเกตเห็นคือ parallel ระหว่างองก์ที่สองและองก์อื่น คือก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยชอบองก์สองเท่าไหร่ เพราะมันดูไม่สัมพันธ์กับเนื้อเรื่องโดยรวม แต่พอเห็นความเหมือนกันหลาย ๆ อย่าง เช่นโมทีฟของรถไฟ ที่ในองก์สองก็มีรถไฟขนชิ้นส่วนกระสวยอวกาศขับผ่านตัวเอก และการที่ Sumida อยู่ฝั่งเดียวกับพระเอก แต่ในฉากแรกและฉากสุดท้าย Akari อยู่อีกฝั่งนึงของรางรถไฟ เราว่ามันสื่อถึงความต้องการจะไขว่คว้าของพระเอกได้อย่างแนบเนียน
คือจริง ๆ มันก็คงเป็นความจงใจที่ชัดอยู่แล้วละมั้ง แต่เพิ่งมาสังเกตก็คราวนี้
มันมีช่วงนึงในชีวิตเราที่เคยอยู่ในประเทศที่การเดินทางโดยรถไฟพอจะมีความโรแมนติกอยู่บ้าง คืออย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวแมลงสาบจะมาไต่ตอมตอนเผลอหลับเหมือนรอฟอทอน่ะ
นั่นแหละ คือช่วงนั้นในชีวิตเราที่เคยนั่งรถไฟเกือบทุกวัน พอนั่งคนเดียว รถไฟโล่ง ๆ เราก็จะนึกถึงหนังเรื่องนี้ตลอด นั่งมองต้นไม้เนินเขาผ่านสายตาไปเรื่อย ๆ บางทีก็มีหยาดฝนไหลทะแยงอยู่นอกหน้าต่าง ในหัวก็จะมีเพลง One More Time, One More Chance เล่นวนไปเรื่อย ๆ
มันเป็นความรู้สึกที่รู้สึกง่าย แต่อธิบายยาก
สุดท้ายคือพอเพลงจบ พอหนังจบ ก็จะรู้สึกอึน ๆ จะเศร้าฟูมฟายก็ไม่ใช่ เพราะมันเป็นการลงเอยที่มีเหตุผลเหลือเกิน แต่ก็สลดเหลือเกิน
แล้วก็อยากจะดูซ้ำอีกรอบ