Beauty and the Beast
(2017)
ในบรรดาหนังเจ้าหญิงดิสนีย์ทั้งหมดทั้งมวล Beauty and the Beast ต้นฉบับที่ออกฉายในปี 1991 ดูจะเป็นหนังที่ส่งข้อความแนวอนุรักษ์นิยม (แปล: หัวโบราณ) ในเชิง female empowerment มากพอสมควรอยู่ อาจจะไม่มากเท่า Ariel ใน The Little Mermaid ที่ยกเสียงตัวเองให้แม่มดเพื่อผู้ชายแปลกหน้า หรือเจ้าหญิง Aurora ที่นอนพะงาบรอผู้ชายมาช่วย ถ้ามองเผิน ๆ นั้น Belle ใน Beauty and the Beast ดูจะมีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ทำตามธรรมเนียมหรือคุณค่าที่สังคมของเธอคาดหวัง ถึงขั้นโดนคนในหมู่บ้านรุมด่าเป็นเพลง ไหนจะมีคุณธรรมมองคนจากความสวยงามภายใน ตกหลุมรักกับเจ้าชายอสูรรูปร่างหน้าตาน่ากลัว แต่สุดท้ายหนังก็อดไม่ได้ที่จะให้อสูรแปลงร่างกลับมาเป็นเจ้าชายหน้ามน เพราะก็แน่อยู่แล้วน่ะสิ จะให้นางเอกลงเอยกับอสูรอัปลกษณ์อย่างงั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้!
สุดท้ายเรื่องความสวยงามภายในอะไรนั่นก็ร่วงหายไปกับกลีบกุหลาบ
พอมาปี 2017 ได้เวลาเอา tale as old as time เรื่องนี้มารีเมก ดิสนีย์เลยต้องใส่ (แปล: ยัดเยียด) แนวคิดสมัยใหม่เข้าไป ซึ่งโดยรวมแล้วเราว่าทำได้ดีนะ มีแค่บางช่วงบางตอนที่เห็นว่ามันมากไปหน่อย มันยัดเยียด มัน preachy เกิน
หนึ่งในการ modernisation ที่เราชอบคือความไม่โจ่งแจ้งของมัน เลอฟูเวอร์ชั่นนี้เป็นเกย์แต่หนังก็ไม่ได้ประกาศเรื่องนี้ไปทั่วราชอาณาจักร มีแค่ฉากเล็ก ๆ ตรงนู้นทีนี้ที มันก็ดูกลมกลืนดี หรือการที่หนึ่งใน muskeeteers เป็น trans (หรือ crossdress อย่างใดอย่างนึงนี่แหละ หนังไม่ได้บอกชัดเจน) ก็มีแค่ฉากที่ตู้เสื้อผ้าเสกชุดกระโปรงให้ muskeeteers สามคน สองคนแรกร้องเสียงหลง คนที่สามยิ้มแฉ่ง นั่น มีแค่นั้นเลย สั้นง่ายได้ใจความ
และในทางกลับกันส่วนที่เราไม่ค่อยชอบก็คือช่วงที่หนังเทศน์เกิน ไม่ subtle พอ อย่างการพูดอยู่นั่นแหละว่า Belle ไม่ได้รอ prince charming นะ หรือ Belle ไม่ใช่ damsel in distress นะ (ฉากที่ชาวบ้านโยนถังซักผ้าของ Belle ลงพื้น พอ LeFou เห็นเลยไปบอก Gaston ว่า เนี่ย มี damsel in distress แล้ว แต่สรุปว่า ว้าว Belle นั้นเป็นผู้หญิงที่ไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายในการก้าวข้ามอุปสรรค เนี่ยมันโจ่งแจ้งเราว่า)
พวกนี้มันเป็นเหมือน keyword ที่ใส่เข้าไปในหนังเพื่อให้คนทำหนังตบบ่าตัวเองแล้วบอกว่า “เราได้สร้างหนังเกี่ยวกับ 21st century heroine แล้ว เย้”
นอกเหนือจากการอัปเดตเนื้อเรื่องให้เข้ากับยุคสมัยแล้ว ด้านอื่นของหนังเราว่าก็ทำออกมาดี มุกตลกเป็นธรรมชาติดี (ขอบ่นตรงนี้นิดนึง – เราชอบจังหวะของมุกตลกที่มันกลืนไปกับบทพูดรอบข้างแบบในหนังเรื่องนี้มากกว่ามุกตลกที่มาเป็น beat แบบหนังมาร์เวล ที่ตั้งแต่ Doctor Strange มาจนถึง Guardians of the Galaxy vol. 2 เริ่มเยอะจนซ้ำซากละ)
ด้านภาพยิ่งไม่ต้องพูดถึง สวยมาก โปรดักชั่นดีไซน์ดีมาก โดยเฉพาะการออกแบบข้าวของเครื่องใช้ที่มีชีวิต ฉากที่ Lumière กลายเป็นเชิงเทียนไร้ชีวิตคือสวยมาก
ส่วนเพลงก็รู้ ๆ กันอยู่แล้วเนอะ ชอบเพลงของ Gaston ตลกดี ส่วนเพลง Tale as old as time (ไม่รู้ชื่อ) ฟังแล้วขนลุก เพราะดี
สรุปเราให้ผ่าน หนังปรับปรุงต้นฉบับให้เข้ากับยุคสมัยได้ดี มีบางฉากที่โจ่งแจ้งเกิน อย่างอื่นก็โอเค ภาพสวยเพลงเพราะ