(ตึ่งดื่อดือดือดึ๊ง แต่ก แกร่กกกกก ภาพยนต์ต่อไปนี้เป็นภาพยนต์ทั่วไป สามารถรับชมได้ทุกวัย)

Chef ทำให้เรานึกขึ้นได้ว่า เออ โลกนี้มันยังมีหนังที่ไม่ทำให้เราหดหู่อยู่นะ

หนังเรื่องนี้เล่าถึงมนุษย์ผู้หลบหนีจากชีวิตเดิม ๆ เพื่อออกเดินทางตามความฝัน และระหว่างการเดินทางนั้นเองที่ทำให้เขามองเห็นสิ่งสำคัญในชีวิตอย่างเช่นครอบครัว

ใช่แล้ว พล็อตเหมือนกับหนังอีกห้าสิบแปดล้านเรื่องที่เล่าเรื่องเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่สิ่งที่ทำให้ Chef แผกออกมาจากกลุ่มกองของความจำเจเหล่านั้นคือจิตวิญญาณ

และอาหาร

ครึ่งแรกของหนังจะหนักไปทางดราม่า เป็นความกดดันของเชฟที่ถูกตีกรอบให้ทำแต่อาหารซ้ำซาก เพราะอาหารเหล่านั้นขายได้ หนำซ้ำยังถูกนักวิจารณ์ด่า จนสุดท้ายก็ปรี๊ดแตกหนีไปขายอาหารใน food truck

ฉากอาหารในครึ่งแรกถือว่าดี ดราม่าเรื่องครอบครัว เรื่องงานก็ธรรมดา ไม่มีอะไรให้อู้หูอ้าหา แต่พอมาถึงครึ่งหลังเท่านั้นแหละ

…ยิ่งน่าเบื่อเข้าไปใหญ่ นี่ชมนะ

เพราะข้อดีของหนังเรื่องนี้มันอยู่ที่ความชิลไง มันชิลมาก ๆ ชิลระดับแพลตินั่ม หลังจากพระเอกออกมาทำ food truck แล้วหนังก็ไม่มีความขัดแย้ง (conflict) อะไรอีกเลย บางอย่างที่เหมือนจะดราม่า สุดท้ายก็ไม่ดราม่า มันจบสวย ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป

มันฟีลกู้ด และเราคิดว่านี่คือหนังฟีลกู้ดที่ฟีลกู้ดจริง ๆ

ความ meta ของ Chef อยู่ตรงที่ว่า ถ้าจะให้เทียบกับอาหาร หนังเรื่องนี้ไม่ใช่คาเวียร์ราดไข่ ไม่ใช่อาหารจากร้านที่ได้ดาวจากบริษัทขายยาง ไม่ใช่ซูชิโอโทโร่แถวสาทร แต่หนังเรื่องนี้คือแซนด์วิชคิวบาริมทะเล คือร้านก๋วยจั๊บรถเข็นที่ไปกินเพราะร้านอื่นปิดหมดแล้วแต่ก็พบว่ามันอร่อยดี อร่อยแบบไม่ต้องคิดมาก