ตั้งแต่เริ่มดู/เขียนร้อยหนังมา เรามีวิธีจัดอันดับหนังคร่าว ๆ ได้ประมาณนี้: หนังที่กากจนไม่อยากกลับไปดูอีก หนังที่ไม่ได้ดีเลิศแต่ถ้าเปิดเจอก็คงดู หนังที่ดีจนอยากดูอีกหลาย ๆ รอบ และหนังที่พลังสูงและทำให้เครียดจนไม่อยากกลับไปดูอีก

ประเภทหลังสุดประกอบไปด้วยหนังอย่าง Spotlight, Room และ – ล่าสุด – Eternal Sunshine of the Spotless Mind

Eternal Sunshine ฯ เป็นเหมือนส่วนผสมแปลก ๆ ระหว่าง 500 Days of Summer กับ Memento ตบด้วยความเซอร์เรียลประมาณสามช้อนโต๊ะ

ที่บอกว่ามี 500 Days of Summer ผสมอยู่ด้วยเพราะวิธีการเล่าเรื่องแบบตัดไปตัดมาระหว่างช่วงเวลาตั้งแต่ต้นจนจบความสัมพันธ์ของคนสองคน (เพิ่มนิดนึงว่าเทคนิกการตัดไปตัดมาเนียนกว่า 500 Days แต่เราว่า 500 Days ดูรู้เรื่องกว่า ว่าตอนตัดนั้นตัดไปที่ช่วงไหนของ timeline) และทั้งสองเรื่องก็เล่าถึงวงจรของความสัมพันธ์ การตกหลุมรัก การตีสนิท การเดท การอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข การอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุข จุดแตกหัก การเลิกรา

แล้วก็กลับมานับหนึ่งใหม่

ในกรณีของ 500 Days นั้นมี Autumn มานับหนึ่งใหม่ ส่วนใน Eternal Sunshine หลังจากเลิกกับ Clementine พระเอกก็ได้พบเจอกับ… Clementine

และเราว่าการที่ Clementine เปลี่ยนสีผมไปเรื่อย ๆ เหมือนกับที่เธอเป็นคนใหม่ในสายตาพระเอก ก็เป็นสัญลักษณ์ที่ดี

บางคนมองว่า Eternal Sunshine เป็นหนังอกหัก บางคนมองว่าเป็นหนังเกี่ยวกับความหวังและการเริ่มต้นใหม่ และทั้งสองมุมนี้มีสิ่งที่เหมือนกันคือมันชี้ให้เห็นถึงซาดิสม์ของความรัก ว่ามันเจ็บแต่มันไม่จบ ว่ามันต้องโดนแทงซ้ำ ๆ แต่ก็ยังกระเสือกกระสนต่อ

เพราะไม่งั้นทางเลือกที่เหลือคือการลืม

และหนังก็แสดงให้เห็นว่าถ้าเราลืมคน ๆ หนึ่งไป เราจะเสียส่วนหนึ่งของตัวเราเองไปด้วย

แล้วพอรู้ตัวอีกที เราก็ลืมไปแล้วว่าเพลง Oh My Darling, Clementine ร้องยังไง