The Asphalt Jungle
(1950)
สิ่งแรกที่นึกได้ตอนดู The Asphalt Jungle จบคือ หนังวางแผนปล้นนี่พัฒนาขึ้นเยอะเลยนะ เทียบกับหนังปล้นสมัยใหม่อย่าง Ocean’s Eleven (อะไรนะ 2001 นี่ยี่สิบกว่าปีมาแล้วเหรอ) การปล้นธนาคารในยุค 1950 มันง่ายเหมือนเดินเข้าไปหยิบโบรชัวร์ยังไงยังงั้น
อีกหนึ่งอย่างที่นึกถึงคือมุกของ John Mulaney (ช่วงท้ายคลิป เผื่อ timestamp ใช้ไม่ได้) ที่พูดถึงทัศนคติชิล ๆ ของการก่ออาชญากรรม
“…and they don’t even disguise themselves! They dressed UP for the bank robbery!”
โอเค ย้อนกลับไปนิดนึง ถึงการก่ออาชญากรรมในหนังจะมีให้เห็นบ่อย ๆ ทั้งใน film noir และในหนังตระกูลอื่นด้วย อย่าง The Great Train Robbery ที่ออกฉายตั้งแต่ปี 1903 ก็เกี่ยวกับการปล้นรถไฟ แต่ถ้าพูดถึงหนังวางแผนปล้นแบบ heist film ที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ หลายเสียงก็เห็นพ้องต้องกันว่า The Asphalt Jungle เป็นหนัง heist เรื่องแรก
และถ้าดูจะรู้เลยว่าหนังเรื่องนี้วางรากฐานให้กับหนังวางแผนปล้นในสมัยต่อ ๆ มามากแค่ไหน การวางจังหวะเนื้อเรื่อง แบ่งออกเป็นช่วงแรกคือ ไปหาคนหัวกะทิในทักษะแขนงต่าง ๆ เข้าร่วมทีม ต่อมาก็วางแผน ต่อมาก็ปล้น แล้วก็จบที่การหนี แล้วใครจะถูกจับหรือไม่ยังไงก็แล้วแต่ และกระบวนการทั้งหมดนี้ถ่ายทอดผ่านมุมมองของโจรเป็นหลัก สูตรสำเร็จเหล่านี้ The Asphalt Jungle เป็นผู้บุกเบิกทั้งสิ้น มันเลยทำให้หนังเรื่องนี้แหวกแนวจาก noir อื่น ๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นหนังสมัยใหม่
ซึ่งช่างย้อนแย้งกับการวางแผนและการปล้นที่เกิดขึ้นในหนังเสียจริง
อย่างที่บ่นไว้ตอนต้น คืออาชญากรรมในสมัยนั้นมันง่ายจน ถ้ามองผ่านจริตการดูหนังปัจจุบัน เหมือนกับว่าหนังไม่มีความตึงเครียด ไม่มี tension ไม่ต้องมานั่งลุ้นว่าจะปล้นสำเร็จหรือเปล่า บรรยากาศระหว่างการปล้นมันชิลเกินไปมาก ไม่มีดนตรีประกอบ โจรแต่ละคนก็ใส่สูท ใส่หมวกอย่างเนี้ยบ เข้าไปนั่งเล่นอยู่หน้าเซฟ ว่างจัดก็สูบซิการ์รอ อุปสรรคในธนาคารมีแค่อย่างเดียวคือเซ็นเซอร์ 1 (หนึ่ง) ตัว (ในหนังเรียก “electric eye” เท่ดี)
และในขณะที่หนัง heist สมัยใหม่มีแผนที่ซับซ้อน ก่อนปล้นก็ต้องไปศึกษาพื้นที่ ขโมยพิมพ์เขียวของสถานที่นั้น ๆ ศึกษาระบบไฟฟ้า ระบบกล้องวงจรปิด จำนวนรปภ. ในจุดต่าง ๆ พอถึงวันจริงก็ต้องมีการปลอมตัว ปลอมคีย์การ์ด มีการเบี่ยงเบนความสนใจอะไรต่าง ๆ อีกมากมาย
แผนใน The Asphalt Jungle น่ะเหรอ เดินเข้า ระเบิดเซฟ ขโมยเพชร เดินออก
หนังเรื่องนี้เลยรู้สึกเหมือนเป็นหนังที่ทั้งทันสมัยและโบราณไปพร้อม ๆ กัน ถึงเราจะคิดว่ามันน่าเบื่อ แต่ก็เข้าใจว่าเป็นหนังต้นแบบที่สำคัญ