The Big Sleep
(1946)
The Big Sleep เล่าเรื่องของนักสืบเอกชน Marlowe ที่ถูกว่าจ้างโดยนายพล Sternwood ให้ไปสืบว่าทำไมลูกสาวคนเล็กของเขา Carmen ถึงต้องจ่ายเงินให้บุคคลที่ชื่อ Arthur Geiger แต่พอ Marlowe กำลังจะออกจากบ้านของนายพล ลูกสาวคนโต Vivian ก็ดึง Marlowe เข้าไปคุย บอกว่าแท้จริงแล้วพ่อของเธอต้องการให้ Marlowe สืบหาเบาะแสเกี่ยวกับ Sean Regan ผู้ติดตามของนายพล Sternwood ที่หายตัวไปอย่างลึกลับ
…มั้ง??
คือดูจบแล้วงงจริง ๆ เนื้อเรื่องซับซ้อน ตัวละครเยอะ (ที่สรุปไว้ข้างบนนี่ยังพูดถึงตัวละครสำคัญได้ไม่ถึงครึ่งเลย) แล้วการเล่าเรื่องก็เข้าใจยาก ยากจนดูจบแล้วต้องเปิดวิกิอ่านพล็อตอีกรอบถึงจะเข้าใจ และระหว่างอ่านวิกิอยู่ก็พบว่าแม้แต่สตูดิโอและทีมงานถ่ายทำเองก็ไม่เข้าใจเนื้อเรื่องซะทั้งหมด ผู้กำกับถึงกับส่งโทรสารไปหาคนเขียนนิยายต้นฉบับ ถามถึงรายละเอียดในเรื่อง คนเขียนตอบกลับไปว่า
“เออ ไม่รู้เหมือนกัน”
และถ้าลองไปอ่านรีวิวใน Rotten Tomatoes ก็จะพบว่า ถึงแม้รีวิวจะพูดถึงหนังในเชิงบวก แต่เกือบทุกคนก็จะบอกตรงกันว่าเนื้อเรื่องมันติดตามยาก โอเค ค่อยยังชั่ว นึกว่าเป็นแค่เราคนเดียว
อีกอย่างนึงที่แทบทุกรีวิวพูดตรงกันคือความ “โก้” ของหนัง ถ้า film noir มีเทมเพลตว่าต้องเดินเรื่องยังไง มีตัวละครแบบไหน พูดจายังไง The Big Sleep ก็ทำตามสูตรนั้นแบบตรงเป๊ะทุกตัวอักษร เวลาเรานึกถึง film noir นี่คือสิ่งที่เราจินตนาการถึง ตั้งแต่ยังไม่รู้จักหนังเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
ซึ่งความเท่ของหนังนั้นมีอยู่จริง และเคมีระหว่าง Humphrey Bogart และ Lauren Becall นักแสดงนำชายหญิงนั้นก็มีให้เห็นเหลือเฟือ — ไม่แปลกใจเพราะช่วงที่ถ่ายทำนั้นทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกันหมาด ๆ
นักวิจารณ์หนัง Roger Ebert พูดไว้ว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับกระบวนการสืบสวน ไม่ใช่ผลลัพธ์ “[…] the movie is about the process of a criminal investigation, not its results.” เขาเลยยอมรับความซับซ้อนของเนื้อเรื่องว่าเป็นราคาที่เขายอมจ่ายเพื่อให้ได้ดู Bogart กับ Becall หยอกล้อกันบนจอเงิน และเท่าที่ลองอ่านดู นักวิจารณ์คนอื่น ๆ ก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน
เราก็เข้าใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มองข้ามการเล่าเรื่องไม่พ้น หนังมันเท่ แต่สำหรับเรามันไม่เท่พอที่จะซาบซึ้งกับมันได้โดยไม่ต้องอาศัยพล็อต
นั่นแหละ ที่เขียนวนไปวนมานี่จะบอกแค่ว่า ดูไม่รู้เรื่อง ดิเอนด์