The Big Sleep เล่าเรื่องของนักสืบเอกชน Marlowe ที่ถูกว่าจ้างโดยนายพล Sternwood ให้ไปสืบว่าทำไมลูกสาวคนเล็กของเขา Carmen ถึงต้องจ่ายเงินให้บุคคลที่ชื่อ Arthur Geiger แต่พอ Marlowe กำลังจะออกจากบ้านของนายพล ลูกสาวคนโต Vivian ก็ดึง Marlowe เข้าไปคุย บอกว่าแท้จริงแล้วพ่อของเธอต้องการให้ Marlowe สืบหาเบาะแสเกี่ยวกับ Sean Regan ผู้ติดตามของนายพล Sternwood ที่หายตัวไปอย่างลึกลับ

…มั้ง??

คือดูจบแล้วงงจริง ๆ เนื้อเรื่องซับซ้อน ตัวละครเยอะ (ที่สรุปไว้ข้างบนนี่ยังพูดถึงตัวละครสำคัญได้ไม่ถึงครึ่งเลย) แล้วการเล่าเรื่องก็เข้าใจยาก ยากจนดูจบแล้วต้องเปิดวิกิอ่านพล็อตอีกรอบถึงจะเข้าใจ และระหว่างอ่านวิกิอยู่ก็พบว่าแม้แต่สตูดิโอและทีมงานถ่ายทำเองก็ไม่เข้าใจเนื้อเรื่องซะทั้งหมด ผู้กำกับถึงกับส่งโทรสารไปหาคนเขียนนิยายต้นฉบับ ถามถึงรายละเอียดในเรื่อง คนเขียนตอบกลับไปว่า

“เออ ไม่รู้เหมือนกัน”

และถ้าลองไปอ่านรีวิวใน Rotten Tomatoes ก็จะพบว่า ถึงแม้รีวิวจะพูดถึงหนังในเชิงบวก แต่เกือบทุกคนก็จะบอกตรงกันว่าเนื้อเรื่องมันติดตามยาก โอเค ค่อยยังชั่ว นึกว่าเป็นแค่เราคนเดียว

อีกอย่างนึงที่แทบทุกรีวิวพูดตรงกันคือความ “โก้” ของหนัง ถ้า film noir มีเทมเพลตว่าต้องเดินเรื่องยังไง มีตัวละครแบบไหน พูดจายังไง The Big Sleep ก็ทำตามสูตรนั้นแบบตรงเป๊ะทุกตัวอักษร เวลาเรานึกถึง film noir นี่คือสิ่งที่เราจินตนาการถึง ตั้งแต่ยังไม่รู้จักหนังเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

ซึ่งความเท่ของหนังนั้นมีอยู่จริง และเคมีระหว่าง Humphrey Bogart และ Lauren Becall นักแสดงนำชายหญิงนั้นก็มีให้เห็นเหลือเฟือ — ไม่แปลกใจเพราะช่วงที่ถ่ายทำนั้นทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกันหมาด ๆ

นักวิจารณ์หนัง Roger Ebert พูดไว้ว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับกระบวนการสืบสวน ไม่ใช่ผลลัพธ์ “[…] the movie is about the process of a criminal investigation, not its results.” เขาเลยยอมรับความซับซ้อนของเนื้อเรื่องว่าเป็นราคาที่เขายอมจ่ายเพื่อให้ได้ดู Bogart กับ Becall หยอกล้อกันบนจอเงิน และเท่าที่ลองอ่านดู นักวิจารณ์คนอื่น ๆ ก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน

เราก็เข้าใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มองข้ามการเล่าเรื่องไม่พ้น หนังมันเท่ แต่สำหรับเรามันไม่เท่พอที่จะซาบซึ้งกับมันได้โดยไม่ต้องอาศัยพล็อต

นั่นแหละ ที่เขียนวนไปวนมานี่จะบอกแค่ว่า ดูไม่รู้เรื่อง ดิเอนด์