เป็นหนังที่พูดถึงความอึดอัดของ “ฝีมือ” ด้านศิลปะได้ดีมาก

บ่อยครั้งที่เราเห็นงานเขียน หรือภาพวาด หรืองานศิลปะอื่น ๆ ที่เราชื่นชอบ แต่เจ้าของผลงานดันบอกว่า “ไม่หรอก งานนี้ห่วยจะตาย”

รีแอคชั่นจะแตกแขนงออกไปเป็นสิบเป็นร้อยทางทันที เจ้าของผลงานแค่ถ่อมตัวเองหรือเปล่า ไม่ภูมิใจในงานตัวเองเหรอ หรือไม่ก็ ถ้างานอย่างงี้เรียกว่าห่วย แล้วงานคนอื่นที่แย่กว่านี้คือเศษสวะเลยใช่ไหม ด้านเจ้าของผลงานก็อึดอัด เพราะจะให้พูดยังไงได้ จะบอกว่าผลงานนี้ดี ก็โดนหาว่าขี้อวด อีโก้ใหญ่คับฟ้า ถ้าบอกว่าไม่หรอก ก็กลายเป็นดูถูกคนที่งานแย่กว่าตัวเอง

ยิ่งถ้าเป็นงานศิลปะที่ผู้คนมองว่าผูกกับความสูงส่งของสติปัญญายิ่งยากเข้าไปใหญ่ พระเอก (David Foster Wallace เล่นโดย Jason Segel) พูดไว้ประมาณว่า (จำคำพูดเป๊ะ ๆ ไม่ได้) ตอนที่เขาเพิ่งเริ่มเขียน เขามักมองนักเขียนหนังสือขายดีว่าเป็นพวก sell out สังเวยตัวเองเพื่อเงิน ขายตัวให้กับความโง่เง่าของคนหมู่มาก จนกระทั่งวันหนึ่งกลายเป็นตัวเขาเองที่เป็นเจ้าของหนังสือขายดี แล้วพอถึงวันนั้นจะบอกกับตัวเองว่ายังไง

เราว่าหนังเรื่องนี้เหมือนกับนั่งฟังคนฉลาดสองคนคุยกัน และความคิดเห็นของคนหนึ่งต่ออีกคนหนึ่งก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ผ่านคำพูด เรื่องราว

แต่บางทีก็เหมือนกับว่าความสัมพันธ์ของตัวละครหลักทั้งสองคนมันดูเอียงเอน เหมือนกับว่า David Foster Wallace แสดงมิตรภาพต่อ Dave Lipsky (เล่นโดย Jesse Eisenberg) โดยการชวนคุย หรือถามกลับทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนให้สัมภาษณ์ แต่กลับกัน Lipsky กลับมองทัวร์นี้เป็นแค่งานชิ้นหนึ่ง (ในบางเวลา) โดยหนังค่อนข้างเน้นในเรื่องนี้ อย่างการที่ Lipsky ถือเครื่องบันทึกเทปไว้ตลอดเวลา หรือการที่เขาไปสอดส่องของใช้ส่วนตัวของ Wallace ที่หนังแสดงให้เห็นบ่อย ๆ

พูดถึง Lipsky เราไม่รู้ว่าตัวจริงเขาเป็นยังไง แต่ในหนังเราเห็นแค่ Jesse Eisenberg เล่นเป็น Jesse Eisenberg เหมือนกับที่ Jesse Eisenberg เล่นเป็น Jesse Eisenberg ในหนังทุกเรื่อง โดยเฉพาะกริยาท่าทาง การพูดบท

แค่งงว่าจะกระดิกนิ้วอะไรนักหนา ไม่เชื่อลองไปดูหนังเรื่องไหนก็ได้ที่ Jesse Eisenberg แสดง แล้วลองดูนิ้วเขาดู