สิ่งที่นึกได้ตอนเล่น Hollow Knight

Hollow Knight คือหนึ่งในเกมที่เราชอบที่สุด

ปกติเราจะไม่เขียนเกี่ยวกับเกม เพราะเราเล่นเกมไม่หลากหลาย รู้สึกว่าไม่มีกรอบให้อ้างอิงเท่าไหร่ แต่กับเกมนี้เราอยากพูดถึงมาก หลงรักตั้งแต่เริ่มจนจบเลย เป็นหนึ่งในไม่กี่เกมที่เราว่าเพอร์เฟ็กต์

อย่างแรก เราจะแบ่งโพสนี้เป็นสองท่อน ท่อนแรกจะพูดถึงช่วงต้น ๆ เกม ไม่เกิน 3-4 ชั่วโมงแรก (เกมมีความยาวประมาณ 35-40 ชั่วโมง) เพราะฉะนั้นจะไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญ ส่วนท่อนหลังจะพูดถึงเนื้อเรื่อง สปอยล์ทั้งเกม 100% ต้นยันจบ โอเคนะ โอเค

Hollow Knight คือเกมแนว metroidvania (คือแนว ๆ Metroid หรือ Castlevania แหละ) 2D platformer บรรยากาศคล้าย ๆ Dark Souls โดยมีจุดเด่นที่ ภาพสวย เนื้อเรื่องน่าติดตาม ดนตรีเพราะ และเกมเพลย์แน่นมาก

อย่างที่บอกแหละ เพอร์เฟ็กต์

ภาพสวยมาก

เราชอบทุกอย่างที่อยู่บนจอเวลาเล่น Hollow Knight ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบตัวละคร การเคลื่อนไหว สถาปัตยกรรม Gothic ที่ชวนให้นึกถึง Anor Londo ใน Dark Souls ผสมผสานกับองค์ประกอบจาก “แมลง” ไม่ว่าจะเป็นลวดลายตามเสาที่คล้ายกับท้องของแมลง หรือบานกระจกที่ดูเหมือนปีกแมลง ทั้งหมดนี้คลุมด้วยโทนหม่น ๆ สลัว ๆ ทำให้ได้บรรยากาศที่มีเอกลักษณ์

เจอคนอธิบายโทนภาพของเกมนี้ด้วยคำว่า macabre ก็ อืม ใช่นะ

Hollow Knight - City of Tears

ด้วยความที่เกมนี้เป็น metroidvania บวกกับโลกของเกมอันมโหฬาร เราจึงหลงทางอยู่บ่อย ๆ แต่แทนที่เราจะหงุดหงิดเพราะหาทางไปต่อไม่ถูก เรากลับยินดีที่จะหลงอยู่ในโลกของเกมนี้ เรายินดีที่จะนั่งเล่นในเมือง Dirtmouth อันเงียบสงบ หรือเดินฝ่า Greenpath เขียวขจี หรือ City of Tears ที่ดูยิ่งใหญ่ ทุกพื้นที่ในเกมมีเอกลักษณ์ในตัวของมันเอง แต่ก็เข้ากันกับธีมโดยรวม

บางครั้งก็เปิดเกมนี้มาเดินเล่นเรื่อยเปื่อย ไม่ต้องมีเป้าหมาย มันเซ็น มันมีสมาธิแบบบอกไม่ถูก

เราเคยฟังคนนี้พูดถึงเกม Life is Strange (วิดีโอมีสปอยเลอร์เกม Life is Strange) ว่าโมเมนต์ที่เขาชอบที่สุดในเกมนั้นคือการที่ตัวเอกได้ “นอนเฉย ๆ “ แล้วผู้เล่นต้องเป็นคนเลือกที่จะ “ลุกขึ้น” เพื่อออกจากภวังค์ จากโมเม้นต์นั้น ใน Hollow Knight ก็มีระบบที่คล้ายกัน คือจุดเซฟในเกมนี้ไม่ใช่กองไฟแบบใน Dark Souls หรือแอบอยู่ในเมนูแบบโปเกมอน ที่พอเซฟเสร็จแล้วก็เล่นต่อทันที แต่จุดเซฟใน Hollow Knight นั้นจงใจ มันคือจุดพักผ่อนที่ให้ละสายตามาชื่นชมสิ่งแวดล้อม จุดเซฟในเกมนี้คือม้านั่ง

Hollow Knight - Queen's Garden

ทันทีที่ผู้เล่นนั่ง กล้องจะปรับเฟรมมิ่งเพื่อให้เราได้ดื่มด่ำบรรยากาศในพื้นที่นั้น ๆ ของเกม และจะไม่ลุกจนกว่าผู้เล่นเลือกที่จะลุกเอง มันเป็นโมเมนต์เล็ก ๆ ที่ทำให้เกมนี้ “สวย”

Hollow Knight เน้นการเล่าเรื่องผ่านสิ่งแวดล้อม (environmental storytelling) มากกว่า cutscenes หรือคำพูดจาก NPC เพราะทั้งเกมอัดแน่นไปด้วยคำใบ้ที่ปล่อยให้ผู้เล่นปะติดปะต่อเรื่องราวในอดีตของอาณาจักร Hallownest แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นซากปรักหักพัง หรือขวากหนามที่กลืนกินป่า Greenpath ทุกรายละเอียดชวนให้เราจินตนาการถึงความยิ่งใหญ่ที่ล่มสลายไปตามกาลเวลา

ตัวละครน่าจดจำ

สิ่งหนึ่งที่ดูจะขัดกับโลกอันอ้างว้างในเกมก็คือตัวละคร NPC ที่มีรูปร่างและนิสัยใจคอแตกต่างกันไป เกมนี้ออกแบบตัวละครได้ดีมาก แต่ละตัวมีเอกลักษณ์น่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็นอัศวินผู้แกร่งกล้า (?) Zote the Mighty หรือ The Last Stag ด้วงตัวสุดท้ายที่ขี้บ่นไปบ้าง แต่ก็สุขุมและทรงปัญญา หรือ Cornifer นักเขียนแผนที่ ที่เราดีใจทุกครั้งที่ได้เจอ เพราะนอกจากเสียงฮัมเพลงอันรื่นเริงแล้ว Cornifer ยังให้เราซื้อแผนที่ในพื้นที่นั้น ๆ ด้วย

แต่ตัวละครที่เราชอบที่สุดเห็นจะเป็น Myla แมลงน้อยนักขุดแร่ หลงไปมุมนั้นทีไรต้องแวะไปทักทายตลอด เสียงร้องเพลงของเธอนั้นเติมความสดใสให้โลกอันหมองหม่นได้อย่างดี

Hollow Knight - Myla

ตัวละครเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะถูกสร้างขึ้นมาให้โลกดูมีชีวิตชีวาเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งในการเล่าเรื่องด้วย โดยที่ character arc ของแต่ละตัวก็น่าสนใจ ส่วนจะลงเอยอย่างไรนั้น เราขอไปเล่าในท่อนหลัง เพราะมีสปอยเลอร์

สังเกตว่าเราใช้คำว่าบ่น หรือฮัมเพลง หรือร้องเพลง นั่นก็เพราะว่า Hollow Knight คือเกมที่ voice acting ดีมาก ความหลากหลายของเสียงพูด บ้างงึมงำ บ้างแข็งขัน ลองฟังเสียงของ Myla ดูสิ คือเสียงก็ไม่ได้พิสดารหรืออะไรนะ แต่มันมีเอกลักษณ์ มีเสน่ห์ในแบบแปลก ๆ ของมัน

เพลงเพราะ

นอกจาก voice acting จะดีงามแล้ว คลื่นเสียงทุกขยักที่ออกมาจากเกมนี้ก็ดูจะน่าฟังไปซะหมด ทั้งเอฟเฟกต์เวลาผู้เล่นเดินไปมา เสียงแมลงตัวเล็กไต่ไปตามผนัง หรือเสียงดนตรีพื้นหลังที่ไม่เรียกร้องความสนใจ แต่จะออกแนว ambiance เพิ่มบรรยากาศมากกว่า

ปกติเวลาเราเล่นเกม เราจะไม่ค่อยให้ความสนใจกับเสียงเท่าไหร่ บางทีก็ปิดเสียงแล้วเปิดเพลงอื่นฟังด้วยซ้ำ แต่เราว่าสำหรับ Hollow Knight มันคุ้มที่จะเปิดเกมเต็มจอ ใส่หูฟังดี ๆ ซักคู่ แล้วให้ความสนใจกับมันเต็มที่

สรุป

Hollow Knight คือหนึ่งในเกมที่เราชอบที่สุด เราหลงไหลในสภาพแวดล้อมของเกม ในตัวละคร เนื้อเรื่อง และเสียงเพลง โลกของเกมนั้นอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวที่ชวนให้เราจินตนาการถึงโลกที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่ แต่กำลังสาบสูญ

เป็นเกมที่โหลดขึ้นมากินบรรยากาศได้โดยไม่ต้องมีจุดหมาย

ถ้าใครยังไม่เคยเล่น ไปซื้อมาเล่นเถอะ ราคาเต็มสามร้อยกว่าเอง มันสุดยอดมาก

โอเค ต่อจากนี้จะสปอยล์ละ

Hollow Knight - Blue Lake

เนื้อเรื่อง (มีสปอยเลอร์จนจบเกม)

ถ้าจะให้จำกัดความ Hollow Knight ในหนึ่งคำ คำนั้นคงเป็น “unsatisfying” มันเป็นความขมขื่นในตอนจบของทุก ๆ เนื้อเรื่อง ทุก character arc ทั้งเนื้อเรื่องของ Myla จากที่ร้องเพลงอย่างรื่นเริงก็กลับหงอยขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นช่วงท้ายเกมเธอกลับกลายเป็นศัตรูไร้บทพูด ไร้วิญญาณไปเสีย

หรือเรื่องราวของด้วงตีดาบ The Nailsmith ที่พอเราอัพเกรดดาบถึงขั้นสุดแล้ว Nailsmith ก็ขอร้องให้เราฆ่าเขาด้วยดาบที่บริสุทธิ์เล่มนั้นเอง

หรือ Grub Father ที่พอเราช่วยลูกหนอนให้กลับสู่อ้อมอกของพ่อหมดทุกตัว ลูกหนอนเหล่านั้นกลับไปลงเอยในกระเพาะอาหารของพ่อหนอน กินลูกตัวเองจนอิ่ม อันนี้ดาร์กมาก

เนื้อเรื่องที่จบไม่สวยอย่างงี้ดูจะเป็นธีมหลักของเกม เหมือนเป็นเครื่องเตือนความจำว่าเราอยู่ในโลกของเกมที่มืดหม่น ไม่ว่าตัวละครในโลกนี้จะสดใสเพียงใดก็ตาม มันเป็นความรู้สึกเหมือนที่ตัวละครของ Owen Wilson อธิบายไว้ใน Midnight in Paris ว่า “It’s a little unsatisfying because life is a little unsatisfying.”

ช่วงท้ายเกมผู้เล่นจะได้เข้าไปสู่ The Abyss ส่วนที่ลึกที่สุดของ Hallownest และพบว่า Hollow Knight นั้นเกิดมาจากความมืด เกิดมาเพื่อเป็น “ภาชนะ” เก็บกัก infection ไว้ ซึ่งเราว่าน่าสนใจตรงที่เกมนี้ไม่ใช้โมทีฟความมืด vs แสงสว่างแบบที่สื่อต่าง ๆ นิยมกันจนเป็นคลิเช่ บางทีตัวเราเองก็เป็นความมืด ส่วนแสงสว่างบางทีก็เป็น force for good (อย่าง Hornet) แต่บางทีก็นำมาซึ่งความเจ็บปวด (อย่าง White Palace หรือ The Radiance)

จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่แน่ใจว่าธีมหลักของ light vs void vs infection ต้องการสื่อถึงอะไร เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกมต้องการสื่ออะไรหรือเปล่า แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม เราชอบธีมแบบนี้ มันดูซับซ้อนและน่าค้นหา

นั่นแหละ

สุด ๆ แล้วเกมนี้ เอา Game of the Year ไปเถอะ