เนื้อหาต่อไปนี้มีสปอยเลอร์ครับ
  1. เตือนอีกที สปอยเลอร์นะ
  2. เริ่มที่เรื่องใหญ่สุดก่อนละกัน เราไม่ชอบจังหวะการเดินเรื่องในองก์แรกของหนังมาก มีหลายฉากที่ข้ามใจความสำคัญไป ที่เห็นชัด ๆ เลยก็คืออยู่ดี ๆ Carol ก็มารู้จักกับสมาชิก Avengers โดยที่ไม่มีฉากแนะนำตัว ขนาดฉากท้ายเครดิตของ Captain Marvel ยังอธิบายไม่ชัดเจนเลยว่าทีม Avengers นั้นไปเอาเพจเจอร์ของ Nick Fury มาได้ไง ใครเป็นคนจับสัญญาณ แล้ว Carol ที่อยู่ ๆ ก็โผล่มา ทำให้เราไม่ได้เห็น first impression ที่คนอื่นมีต่อ Carol และไม่ได้เห็นไดนามิกระหว่าง Carol กับคนอื่น ซึ่งก็ทำให้ Carol กลายเป็นคนนอก ไม่เป็นส่วนหนึ่งของทีม ทั้ง ๆ ที่ปกตินั้นมาร์เวลถนัดทำฉากแนะนำตัวสั้น ๆ ด้วยซ้ำไป ลองนึกถึง Civil War กับ Infinity War ที่ตัวละครอย่าง Iron Man กับ Doctor Strange เพิ่งเจอกับแป๊บเดียวคนดูก็เข้าใจแล้วว่าสองคนนี้จะเข้ากันหรือไม่เข้ากันยังไง
  3. อีกฉากนึงก็คือตอนที่ Tony บันทึกข้อความถึง Pepper เสร็จ เตรียมตัวรับความตายอย่างสงบ แล้ว Carol บินมาช่วยเลย ทันทีเลย มันกะทันหันมาก ทั้งฉากเลยเสีย emotional impact ไปเพราะหนังไม่ปล่อยให้คนดูจมอยู่กับอารมณ์ของฉากนั้น เหมือนกับหนังต้องการคลายปมจาก Infinity War ให้จบ ๆ ไป คำถามคือทำไมต้องมีฉากที่ Tony เตรียมตัวตายเป็น setup ถ้าไม่มี payoff ที่น่าพอใจ
  4. อีกคนคือ Scott ที่เพิ่งโผล่มาจาก Quantum Realm แล้วมารู้ว่าคนครึ่งโลกตายไปหมด แต่ฉากต่อมาก็มากดกริ่งหน้าฐานของ Avengers แบบหน้าชื่นตาบานแล้ว (ว่าแต่ Scott เดินทางจากซานฟรานมานิวยอร์กได้ไงไวจัง)
  5. Hawkeye ก็เหมือนกัน หนังเริ่มจากมุมมองของ Clint ที่ครอบครัวโดนดีดนิ้วกลายเป็นฝุ่น แต่มาเจออีกทีกลายเป็น Ronin เต็มตัวไปแล้ว หนังไม่ได้พูดถึงแรงจูงใจของตัวละคร คนดูไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงนี้เลย อยู่ ๆ จาก Hawkeye กลายเป็น Ronin แล้วพอคุยกับ Natasha ไม่กี่คำก็กลับไปเป็น Hawkeye เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโมฮอว์ก
  6. เสริมนิดนึง เห็น Scarlett Johansson ถือร่มแบบโคลสอัพ ฉากข้างหลังเป็นโตเกียว ได้ฟีล Lost in Translation นิด ๆ
  7. แต่ก็นั่นแหละ จังหวะเดินเรื่องในองก์แรกมันเพี้ยนจนแอบหวั่นใจว่าทั้งเรื่องจะเป็นแบบนี้ ยังดีที่องก์ 2-3 กลับมาท็อปฟอร์ม
  8. ชอบที่ Heimdall, Loki, Vision, และ Gamora (ใน timeline เดิม) ไม่ฟื้นกลับขึ้นมา เพราะฉากสุดท้ายของตัวละครแต่ละคนใน Infinity War นั้นสำคัญมาก ถ้าสุดท้ายตัวละครเหล่านั้นไม่ตายก็จะทำให้การกระทำใน Infinity War ลดความหมายลง
  9. ชอบการออกแบบชุดของ Rescue ที่มีเอกลักษณ์ จริง ๆ เราชอบที่ชุดของทั้ง Rescue, Iron Man, และ Warmachine มี design language เดียวกัน แต่ก็โดดเด่นในทางของมันเอง
  10. ฉากย้อนเวลา fan service มาก ๆ โดยเฉพาะฉากนิวยอร์ก แต่ก็เป็นโอกาสในการมองย้อนไปว่ามาร์เวลนั้นมาไกลขนาดไหนแล้ว
  11. Cap ถือ Mjolnir — ไม่เคยขนลุกกับฉากไหนในหนังมากขนาดนี้ น้ำตาแทบไหล
  12. Iron Man ได้ send-off ที่ดีนะ ทุกอย่างมันผูกกลับเข้ามาหมดเลย ตั้งแต่ Iron Man ภาคแรกที่ Yinsen บอกว่า “Don’t waste your life.” หรือจากที่ Steve บอกไว้ใน The Avengers ว่า “The only thing you fight for is yourself. You’re not the guy to make the sacrifice play, to lay down on a wire and let the other guy crawl over you.” คนดูเห็นพัฒนาการของ Tony Stark มาเป็นสิบปี จนมาจบที่ “I am Iron Man.” โห รัก 3,000
  13. Cap ก็จบสวย แฮปปี้เอนดิ้ง ส่งไม้ต่อเรียบร้อย
  14. สังหรณ์ว่าซีรีส์ Falcon & Winter Soldier ที่มาร์เวลจะสร้างมาลง Disney+ จะได้ชื่อใหม่
  15. Thor ไปอยู่กับ Guardians ละ เหมือนกับ arc ที่แท้จริงของ Thor เพิ่งเริ่มหลังจากรีแบรนด์ใหม่ใน Thor: Ragnarok แต่สงสัยว่าตัวละครรองอย่าง Valkyrie หรือ Korg จะโผล่มาในแฟรนไชส์ไหน
  16. เลยกลายเป็นว่า Hulk จับได้ไม้สั้น พัฒนาการตัวละครก็ไม่ค่อยมี โรแมนซ์กับ Natasha ก็ไม่ไปไหน ใน Infinity War โดน Thanos ซัดทั้งร่าง Banner ทั้งร่าง Hulk แต่ใน Endgame กลับไม่ได้แก้แค้น กลายเป็นตัวตลกของทีม น่าสงสารร (แต่อย่างน้อยก็มีโมเม้นต์ได้ดีดนิ้วรอบนึง)
  17. NAMOR!!
  18. Tony คิดค้นวิธีย้อนเวลาเร็วมาก เข้าใจแหละว่าพล็อตมันเยอะ มีเวลาแค่สามชั่วโมง ต้องรีบเดินเรื่อง แต่น่าจะอธิบายประมาณว่า Tony กำลังคิดค้นวิธีย้อนเวลาอยู่แล้ว แต่มีข้อจำกัดบลา ๆ จน Scott เอา Pym Particle มาให้ ไรงี้ดูสมเหตุสมผลกว่า เราว่านะ
  19. ฉากใน Vormir นึกว่า Clint จะตาย เพราะ character arc จบแล้ว — ถึงจะมี arc ไม่มากก็ตาม
  20. จริง ๆ อยากให้ Natasha ย้อนเวลาไปที่ Battle of New York แทน Tony นะ คือเข้าใจแหละว่าตามพล็อตต้องไปสังเวยตัวเองที่ Vormir และ Tony ต้องไปเจอพ่อตัวเองเพื่อให้เนื้อเรื่องของตัวละครนี้จบบริบูรณ์ แต่ด้วยความที่ Natasha เป็นสายลับ สกิลน่าจะเหมาะกับการแอบไปขโมย Tesseract มากกว่า หลัง ๆ มาไม่ได้เห็น Black Widow ในบทสายลับเท่าไหร่
  21. ไม่นึกว่า Tilda Swinton จะโผล่มา Hayley Atwell, Robert Redford, กับ Michael Douglas ด้วย (Michael Douglas โผล่มาตั้งสองรอบ) แล้วเห็นในเครดิตมีชื่อ Natalie Portman แต่ในฉากย้อนเวลานั่นนึกว่าใช้สแตนด์อิน ถ้าในงานออสการ์ครั้งต่อไปมีคนถามว่าใครอยู่ใน Endgame บ้างคงยกมือกันครึ่งห้อง
  22. แต่ที่นึกไม่ถึงจริง ๆ คือ James D’Arcy โห ได้เห็น Jarvis อีกรอบ ในจอใหญ่ด้วย #ItsAllConnected
  23. โดยรวมแล้ว Endgame ก็ไม่ทำให้แฟน ๆ มาร์เวลผิดหวังนะ ก่อนหนังจะเข้าฉายมีหลายคนกังวลว่า Carol จะเก่งเกินจนคนอื่นไม่มีส่วนในการเอาชนะ Thanos รึเปล่า สรุปก็ไม่ หรือพอจบแล้ว Infinity Stones จะยังอยู่รอตัวร้ายใน phase ต่อไปมาใช้ซ้ำอีกรึเปล่า ก็ไม่
  24. แต่พอย้อนเวลาได้มันก็จะเกิด power creep ขึ้น อย่างในอนาคตถ้าสู้กับใครไม่ไหวก็ต้องมานั่งตอบคำถามแล้วว่าทำไมไม่ย้อนเวลาไปยืม Power Stone จากโลกอื่นมาใช้ก่อน ไรงี้ แต่จะย้อนเวลาไปฆ่าตัวโกงในอดีตตรง ๆ เลยไม่ได้แค่นั้นเอง
  25. การที่ Thanos ใน Endgame นั้นมีบุคลิกคนละแบบกับ Thanos ใน Infinity War ก็น่าสนใจดี เพราะ Thanos คนนี้คือคนที่หันมายิ้มให้กล้องในฉากท้ายเครดิตของ The Avengers, คือคนที่พูดว่า “Fine, I’ll do it myself.” ในฉากท้ายเครดิตของ Age of Ultron และคือคนที่ยังไม่ได้โยนลูกตัวเองลงเหว ยังไม่ได้เสียสละอะไรทั้งสิ้น แต่พอมาเห็นอนาคตของตัวเอง เห็นความพยายามของตัวเองถูกทำลายโดยมนุษย์กลุ่มนี้ ก็เข้าใจได้ว่าทำไม Thanos เวอร์ชั่นนี้ถึงโยนอุดมการณ์ทิ้ง มันเข้ากับโทนของ Endgame ดี
  26. สรุปแล้วเราชอบ Infinity War มากกว่า หลัก ๆ เลยก็เพราะ pacing เนี่ยแหละ ยิ่งพอเทียบกับ Infinity War ที่ตัดต่อได้แน่นมาก จากฉากนึงโยงไปฉากต่อไป โฟลว์มันดีกว่า ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นาทีต่อนาทีใน Endgame จะสนุกกว่าก็ตาม
  27. “You could not live with your own failure, and where did that bring you? Back to me.”