ดู Mildred Pierce จบแล้วนึกได้สามอย่าง

อย่างแรกเลย ภาพสวยมาก คือปกติหนัง noir ส่วนมากจะให้ความสำคัญกับ cinematography อยู่แล้ว โดยเฉพาะการเล่นแสงเงา และการใช้ความมืด-สว่างเพื่อสื่อถึงศีลธรรมของตัวละคร หรือการใช้เงา silouhette เพื่อสร้างดราม่าให้กับตัวละคร อย่างเช่นฉากที่ Harry Lime ปรากฎตัวเป็นครั้งแรกใน The Third Man

Mildred Pierce ใช้แสงเงาได้ดีมาก โดยเฉพาะตอนต้นเรื่อง ในบ้านริมหาดนั้นเต็มไปด้วยโคมไฟตั้งพื้นที่สาดเงาของตัวละครยาวเหยียดขึ้นไปบนผนัง พอตัวละครเดินออกนอกเฟรมแล้วเงาของเขาเข้าเฟรมมาแทนที่ เงาสลัวรอบ ๆ ถูกขัดด้วยไฟจากรถตำรวจ ความเข้มข้นระทึกขวัญของฉากนี้ได้มาจากแสงเงาล้วน ๆ

สอง ความแตกต่างของสภาพเศรษฐกิจในหนังกับในปีปัจจุบัน สภาพความเป็นอยู่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง Mildred Pierce แสดงถึงแนวคิด American Dream แบบไร้เดียงสา บ้านที่ 99% ของคนยุคนี้เอื้อมไม่ถึงกลับถูกมองโดยตัวละครในยุคนั้นว่าเล็กและซอมซ่อ นางเอก Mildred (เล่นโดย Joan Crawford) จากเดิมที่ไม่มีประสบการณ์ทำงาน มาเป็นพนักงานเสิร์ฟได้สามเดือน (บวกกับอบขนมขายจากบ้าน) ก็ฐานะดีขึ้นจนนอกจากจะเพียงพอกับค่าใช้จ่ายของเธอกับลูกสาวอีกสองคนแล้ว ยังพอจ่ายค่าครูร้องเพลง ครูเปียโน และครูบัลเลต์ให้ลูก จ้างแม่บ้าน และยังมีเงินออมเหลือพอจะเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง

ภายในสามเดือน

จากมุมมองปัจจุบันมันช่างน่าหมั่นไส้ เพราะมันห่างเหินจากความเป็นจริงในยุค 2022 จนเหมือนกับดูหนังแฟนตาซียังไงยังงั้น แถมที่น่าหมั่นไส้ขึ้นไปอีกคือการที่ลูกสาวคนโต Veda (เล่นโดย Ann Blyth) ดูถูกเหยียดหยามแม่ของตัวเองที่ “เป็นแค่เด็กเสิร์ฟ” และไลฟ์สไตล์แบบนั้นไม่พอ มีความฝันอยากเป็นไฮโซ อยากได้รถที่หรูขึ้นไปอีก บ้านที่ใหญ่ขึ้นไปอีก

และนั่นก็คือข้อสาม ความมักใหญ่ใฝ่สูงของ Veda ที่จงเกลียดจงชังแม่ตัวเอง แม้ว่า Mildred จะซื้อเสื้อผ้าดี ๆ ให้ใส่ ซื้อรถหรูให้ขับ Veda ก็ไม่เคยพอใจ

ในเชิง narrative แล้ว Veda ทำหน้าที่เป็น character flaw ของ Mildred คือถึงแม้ว่า Mildred จะเก่งไปซะทุกเรื่อง ข้อเสียหลักของเธอคือการที่เธอปรนเปรอ Veda จนเกินเหตุ จนไม่สมจริง ในรีวิวของ New York Times ที่เขียนเมื่อปี 1945 ก็แสดงให้เห็นว่าคนดูสมัยนั้นก็เห็นว่ามันเกินจริงเหมือนกัน

“For it does not seem reasonable that a level-headed person like Mildred Pierce […] could be so completely dominated by a selfish and grasping daughter…”

Veda ในฐานะตัวขับเคลื่อน character ของ Mildred นั้นเราว่าทำได้สำเร็จ ตัวละคร Mildred มีมิติมากขึ้นเพราะมี Veda เป็นคู่อริ แต่ในฐานะตัวละครในเรื่องแล้ว Veda นั้นระยำตำบอนจนเกินความเป็นจริง เป็นหนึ่งในตัวละครที่น่ารังเกียจที่สุดใน film noir