The Postman Always Rings Twice นับเป็น classic noir เรื่องที่สี่ที่เราเคยดู แล้วเหมือนกับว่าในทุกเรื่องที่ดูก็จะมีองค์ประกอบนึงที่ท้าทายนิยามของ film noir ที่เราคิดไว้ อย่างตอนที่เขียนเกี่ยวกับ Touch of Evil เราก็ได้เรียนรู้ว่า สถานที่นั้นไม่สำคัญต่อ genre คือเนื้อเรื่องจะเกิดในเมืองหรือกลางทะเลทราย ถ้ามีองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น ตัวละคร โทนของเรื่อง ก็จะให้ความรู้สึกของ film noir ได้อย่างสมบูรณ์

แต่หนังเรื่องนี้เหมือนยกระดับความท้าทายนี้ไปอีกขั้น คือดูจบแล้วเราไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าที่ดูไปมัน film noir รึเปล่า จริงอยู่ที่ The Postman Always Rings Twice มีตัวละครดาร์ก ๆ มี femme fatale มีฆาตกรรม

แต่ทำไมมันเหมือนเป็นหนังเกี่ยวกับคนแย่ ๆ สองคนทำสิ่งแย่ ๆ เป็นเวลาสองชั่วโมง หรือแค่นั้นก็พอแล้วที่จะแปะป้ายว่านี่คือ film noir

หรือว่า film noir มันกว้างกว่าที่เราคิดไว้มาก?

โครงเรื่องหลัก ๆ คือ ผู้ชายเจอผู้หญิง ตกหลุมรักแม้จะรู้ว่าผู้หญิงแต่งงานแล้ว พอรู้ว่าผู้หญิงไม่มีความสุขกับการแต่งงาน ผู้ชายกับผู้หญิงเลยวางแผนฆ่าสามี ถ้าเนื้อเรื่องคุ้น ๆ ก็เพราะ premise มันคล้ายกับ Double Indemnity ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือที่แต่งโดยคนเดียวกัน

และเช่นเดียวกับ Double Indemnity หนังเรื่องนี้ไม่ได้ยึดติดกับความคลุมเครือทางศีลธรรมที่เราคิดว่าเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของ film noir กล่าวคือ ตัวละครในเรื่องนั้นเป็นคนเลวโดยไม่ต้องสงสัย

หนังเรื่องนี้ดูแปลกมากถ้ามองจากสายตาปัจจุบัน ในเชิง socioeconomics เป็นหนังที่มองโลกในแง่บวกอย่างบ้าคลั่ง เป็นหนังที่ตัวละครถือ self-fulfilment เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต นางเอกเป็นเจ้าของร้านอาหารกับปั๊มน้ำมันขนาดเล็กร่วมกับสามี แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในความคิดของเธอคือการต้องย้ายไปอยู่ Santa Barbara — ไม่นะ! ฉันขอตายดีกว่า!

เช่นเดียวกับพระเอกที่เร่ร่อนไปทั่วประเทศ อยู่ ๆ มาได้งานเป็นเด็กเสิร์ฟ/เด็กปั๊มที่แทบจะไม่มีลูกค้าก็อยู่ได้สบาย ๆ ไม่ขัดสน อาหาร ที่นอนก็มีพร้อม อยู่ดี ๆ จะปิดร้านไปว่ายน้ำที่ทะเลก็ทำได้ ดูจะสะท้อนการมองเศรษฐกิจช่วงหลังสงครามในสหรัฐอย่างมีความหวัง ในยุคที่ American Dream เฟื่องฟูได้อย่างชัดเจน

หนังใช้เวลาช่วงต้นเรื่องไปกับการปั้นตัวละคร ครึ่งแรกของเรื่องแทบจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตัวละครที่หนังเสียเวลาปั้นกลับเป็นตัวละครกลวง ๆ มีแรงจูงใจเดิม ๆ (ผู้หญิง เงิน — อย่างที่บอก คนเขียนเดียวกับ Double Indemnity) แต่บางทีเหตุการณ์ก็ข้ามไปเป็นอาทิตย์ การเดินเรื่องช้าบ้างเร็วบ้างตะกุกตะกัก

นี่อาจจะเป็น film noir เรื่องแรกที่เราไม่ถูกใจ อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญที่มันเป็นหนังที่มีองค์ประกอบของ film noir น้อยที่สุดด้วย