เข้าใจว่า Marriage Story คือหนังที่สร้างจากประสบการณ์การหย่าร้างของผู้กำกับ Noah Baumbach กับ Jennifer Jason Leigh แต่เราไม่รู้เรื่องส่วนตัวของสองคนนี้ (จริง ๆ คือไม่อยากรู้) เลยจะมองหนังเรื่องนี้โดยปราศจากบริบทนั้นละกัน

ก่อนดูเราคิดไว้ว่าหนังคงจะพยายามเล่าให้ทั้งสองคน ถ้าไม่ผิดเท่ากันก็ไม่มีใครเป็นฝ่ายผิด เราคิดว่าถ้าจะให้เนื้อเรื่องมันสมดุล ทั้งสองฝ่ายก็ควรจะมีส่วนในการหย่าร้างพอกัน อาจจะเลวทั้งคู่ไปเลย หรือถ้าให้ละเมียดละไมหน่อยก็บอกว่าหมดรักกันแล้วหรืออะไรก็ตามแต่ แต่ไม่นึกว่าจะ opinionate แบบนี้ ซึ่งก็ทำให้เรื่องไหลลื่นดี (แต่จะเทไปทางไหน ใครถูกใครผิดเราไม่สปอยล์)

แต่ตลอดทั้งเรื่องเราก็ได้เห็นว่าสองคนนี้ไม่ได้เกลียดกัน ไม่ได้แตกหัก ถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้จะพัง — เราว่า — เพราะฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียว หนังก็ไม่ได้ชี้นิ้วโทษคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้ทำให้ใครเป็นตัวร้าย

ตัวร้ายของเรื่องคือกระบวนการต่างหาก

เราคิดว่าความฉลาดของหนังคือการเอาปัญหาที่ปัจเจกที่สุดมามองแบบโครงสร้าง ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน เมื่อต้องแยกออกจากกันกลับต้องถูกดันผ่านทนาย ผ่านการเจรจาต่อรอง ผ่านแทคติก ผ่านศาล จนสุดท้ายแล้วไม่เหลือความเป็นมนุษย์อยู่เลย หนังชี้ให้เห็นว่าการหย่าร้างแบบถนอมน้ำใจ (หนังใช้คำว่า amicable หลายรอบ) นั้นเป็นไปไม่ได้ในระบบที่มีอยู่

ด้านการแสดง ทั้ง Adam Driver และ Scarlett Johansson แสดงดีมาก แต่ละช็อตคาไว้นาน ๆ ทั้งนั้น แต่ทั้งสองคนก็ควบคุมฉากได้อยู่หมัด

นักแสดงสมทบถึงบทจะไม่มากแต่ก็มี Laura Dern ที่เด่นขึ้นมา โพสนี้เราเขียนหนึ่งวันหลังจาก Laura Dern ได้ออสการ์สาขาสมทบหญิง ที่ส่วนตัวเราคิดว่า Scarlett Johansson ใน Jojo Rabbit เล่นดีกว่า แต่ Laura Dern แกมีฉากนึงที่มีโอกาสได้ monologue ยาว ๆ แสดงความสามารถได้เต็มที่ เดาว่าฉากนั้นแหละทำให้แกได้รางวัลไป

ปกติเราจะไม่นึกถึงดนตรีประกอบในหนังเท่าไหร่ แต่กับ Marriage Story เรารู้สึกว่าดนตรีมันเด่นขึ้นมา มันรู้สึกอบอุ่น คลาสสิก ไม่รู้เหมือนกัน อธิบายดนตรีไม่เป็น แต่ก็นั่นแหละ พอเครดิตขึ้นแล้วเห็นชื่อ Randy Newman ก็ร้องอ๋อเลย มันทำให้เรานึกถึงดนตรีในหนัง Pixar — โดยเฉพาะ Toy Story — นั่นเอง

โดยรวมแล้วถ้าเทียบกับหนังของ Noah Baumbach เรื่องอื่น เราชอบเรื่องนี้มากกว่า Mistress America แต่ก็ยังไม่เท่า Frances Ha อยู่ดี