Elevator to the Gallows
(1958)
เมื่อหลายปีก่อนเราเคยดูหนังชื่อ Frances Ha ที่รับแรงบันดาลใจมาจากหนังประเภท French New Wave ทั้งการใช้ดนตรีจากหนังของ Truffaut และ Greta Gerwig เองก็พูดถึงแรงบันดาลใจจากหนังของ Rohmer แต่ตัวเราเองก็ไม่เคยดูหนัง French New Wave เพราะไม่รู้จะเริ่มตรงไหน จนมาอ่านเจอว่ามันมีหนัง new wave ที่เป็น film noir ด้วย — มีหลายเรื่องแหละที่จริง
นี่แหละโอกาส
Elevator to the Gallows เป็นหนังเรื่องแรกของผู้กำกับ Louis Malle ซึ่งถ้าชื่อของแกไม่อยู่ในหอเกียรติยศของเจ้าพ่อหนัง French New Wave แบบ Goddard, Truffaut, หรือ Rohmer ก็คงได้รางวัลชมเชยเป็นอย่างน้อย
แต่เรื่อง French New Wave เอาไว้ก่อน เดือนนี้คงได้ดูอีก
หนังเรื่องนี้คำโปรยปกหลังง่าย ๆ แต่น่าสนใจ — Elevator to the Gallows เป็นหนังเกี่ยวกับคนที่หลบหนีคดีฆาตกรรม แต่กลับตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมอีกคดี
ประเด็นคือเนื้อเรื่องในหนังไม่ได้เพ่งความสนใจไปยังผู้ก่อเหตุ แต่เดินเรื่องผ่านคนรักของเขาคือ Florence (เล่นโดย Jeanne Moreau) และคู่รักวัยรุ่น Louis กับ Veronique (Georges Poujouly, Yori Bertin) ที่ก่อเหตุฆาตกรรมคดีที่สอง
เราบอกว่า “เดินเรื่อง” แต่จริง ๆ แล้วจากต้นจนจบเนื้อเรื่องไม่เดินมาก เช่น Florence ใช้เวลาเกือบทั้งเรื่องเดินทั่วปารีสเพื่อตามหาคู่รักฆาตกรของเธอ Julien (Maurice Ronet) ในขณะที่อีกฟากนึงของพล็อตนั้น Louis กับ Veronique ก็ขับรถไปคุยกันไปเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ
ส่วน Julien ใช้เวลาเกือบทั้งเรื่องติดอยู่ในลิฟต์
กว่าเนื้อเรื่องจะเริ่มเดินหนังก็เกือบจบแล้ว (จังหวะแบบนี้นึกถึง Criss Cross นิด ๆ) เหมือนกับดูเพื่อกินบรรยากาศมากกว่าดูเพื่อเนื้อเรื่อง หนัง new wave ก็แบบนี้แหละมั้ง?
ในเชิงภาพ ขณะที่หนังอย่าง Mildred Pierce จัดแสง จัดองค์ประกอบภาพ ทำ blocking อย่างแม่นยำ หนังเรื่องนี้ใช้แสงธรรมชาติ ปล่อยให้ตัวละครอาบแสงไฟจากถนนและร้านค้า และช็อต handheld ทำให้หนังดูอ่อนโยนและเป็นธรรมชาติกว่า noir ฝั่งอเมริกัน
และถ้าจะดูเพื่อกินบรรยากาศก็ถือว่าดีเลย เพราะ Elevator to the Gallows เป็นหนังที่เซ็กซี่มาก ไม่ใช่เซ็กซี่แบบยั่วอารมณ์ แต่เซ็กซี่แบบไฟหรี่ ๆ แล้วจิบไวน์ เซ็กซี่แบบเปิดเรื่องด้วยภาพโคลสอัพของหน้านางเอกที่พูดว่า “Je t’aime, je t’aime” ซ้ำ ๆ และเซ็กซี่แบบเดินทอดน่องรอบปารีสตอนหัวค่ำโดยมีเพลงแจ๊ซเป็นพื้นหลัง
แถมเป็นแจ๊ซที่แต่งโดย Miles Davis ด้วย
เพราะฉะนั้นหนังที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศแบบนี้ ไม่ต้องสนใจว่าเนื้อเรื่องจะเป็นยังไงหรอก
หนัง new wave ก็แบบนี้หมดแหละมั้ง?